สภาพแวดล้อมการทำงานถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการทำงานของทุกองค์กร การออกแบบพื้นที่และบรรยากาศในการทำงานที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ส่งผลให้งานออกมาดีและน่าพอใจ องค์กรชั้นนำระดับโลกจึงให้ความสำคัญกับการจัดสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพื่อดึงดูดคนเก่งและสร้างผลงานที่โดดเด่น ซึ่งสภาพแวดล้อมแบบไหนที่เหมาะกับการทำงานไปดูกัน
สภาพแวดล้อมการทำงานคืออะไร
สภาพแวดล้อมการทำงานหมายถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวพนักงานในสถานที่ทำงาน ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสัมผัสได้อย่างพื้นที่ทำงาน แสง เสียง อุณหภูมิ และสิ่งที่สัมผัสไม่ได้อย่างบรรยากาศการทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน วัฒนธรรมองค์กร สภาพแวดล้อมที่ดีจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจของพนักงาน ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจ และความสุขในการทำงาน ส่งผลให้ผลงานมีคุณภาพและองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน
สภาพแวดล้อมในการทำงานมีกี่ประเภท
สภาพแวดล้อมการทำงานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางกายภาพที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ และสภาพแวดล้อมทางจิตใจและสังคมที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทั้งสองส่วนนี้ต้องได้รับการดูแลควบคู่กันไป
สภาพแวดล้อมทางกายภาพ
สภาพแวดล้อมทางกายภาพเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ประกอบด้วยอาคารสถานที่ พื้นที่ทำงาน เฟอร์นิเจอร์ แสงสว่าง อุณหภูมิ เสียง และคุณภาพอากาศ การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ดีจะช่วยส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ลดความเสี่ยงจากโรคออฟฟิศซินโดรม ป้องกันอุบัติเหตุ และสร้างความสะดวกสบายในการทำงาน นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ผ่านการออกแบบพื้นที่ที่เอื้อต่อการระดมความคิดและแลกเปลี่ยนไอเดีย
สภาพแวดล้อมทางจิตใจและสังคม
สภาพแวดล้อมทางจิตใจและสังคมเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล บรรยากาศการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กร ครอบคลุมถึงการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ภาวะผู้นำ และนโยบายการบริหารงาน สภาพแวดล้อมทางจิตใจที่ดีจะสร้างความไว้วางใจ ความเคารพซึ่งกันและกัน และการยอมรับความแตกต่าง ส่งผลให้พนักงานกล้าแสดงความคิดเห็น มีแรงจูงใจในการทำงาน และเกิดความผูกพันต่อองค์กร
8 สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี
การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรยุคใหม่ ต่อไปนี้คือ 8 องค์ประกอบที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดไอเดียและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการทำงาน
1. พื้นที่ทำงานที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น
พื้นที่ทำงานแบบเปิดโล่งและยืดหยุ่นช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การจัดพื้นที่แบบ Activity-Based Working ที่มีทั้งโซนทำงานส่วนตัว พื้นที่ทำงานร่วมกัน และห้องประชุมขนาดต่าง ๆ ช่วยให้พนักงานสามารถเลือกพื้นที่ที่เหมาะกับลักษณะงานได้ เฟอร์นิเจอร์ที่ปรับเปลี่ยนได้และเคลื่อนย้ายสะดวกจะช่วยรองรับการทำงานที่หลากหลาย ทำให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนไอเดียอย่างไม่เป็นทางการและสร้างบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย
2. แสงธรรมชาติและแสงไฟที่เหมาะสม
แสงสว่างเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพในการทำงาน การออกแบบสำนักงานที่เน้นการใช้แสงธรรมชาติผ่านหน้าต่างขนาดใหญ่จะช่วยประหยัดพลังงานและสร้างความสดชื่น ส่วนแสงไฟควรเลือกใช้หลอดไฟที่ให้แสงสีขาวนวลใกล้เคียงแสงธรรมชาติ มีความสว่างเพียงพอแต่ไม่จ้าเกินไป และติดตั้งในตำแหน่งที่ไม่สะท้อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ควรมีไฟเฉพาะจุดที่ปรับความสว่างได้สำหรับงานที่ต้องการสมาธิเป็นพิเศษ
3. สีสันในสำนักงานที่กระตุ้นไอเดีย
สีสันในสำนักงานมีผลต่อความรู้สึกและอารมณ์ในการทำงาน การเลือกใช้โทนสีต่าง ๆ อย่างเหมาะสมจะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เช่น สีฟ้าช่วยเพิ่มสมาธิและความสงบ สีเหลืองช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ สีเขียวช่วยผ่อนคลายความเครียด การใช้สีสันในการแบ่งโซนพื้นที่ทำงานและตกแต่งผนังด้วยงานศิลปะจะช่วยสร้างบรรยากาศที่น่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ
4. มีพื้นที่พักผ่อนและสร้างแรงบันดาลใจ
พื้นที่พักผ่อนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้พนักงานได้ผ่อนคลายและเติมพลังความคิดสร้างสรรค์ การจัดมุมพักผ่อนที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย เช่น โซนกาแฟ ห้องเกม ห้องสมุด หรือสวนหย่อมจะช่วยให้พนักงานได้พักสายตาและสมอง เปลี่ยนบรรยากาศจากโต๊ะทำงาน และสร้างโอกาสในการพูดคุยแลกเปลี่ยนไอเดียอย่างไม่เป็นทางการ พื้นที่เหล่านี้ยังเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจผ่านการตกแต่งที่สร้างสรรค์
5. อากาศถ่ายเทสะดวกและมีธรรมชาติอยู่รอบตัว
คุณภาพอากาศที่ดีและการมีธรรมชาติในที่ทำงานช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจ การติดตั้งระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิผล การใช้เครื่องฟอกอากาศ และการจัดวางต้นไม้ในออฟฟิศจะช่วยให้อากาศสะอาดและสดชื่น ต้นไม้สีเขียวช่วยลดความเครียดและเพิ่มออกซิเจนในอากาศ การมีระเบียงหรือสวนดาดฟ้าจะช่วยให้พนักงานได้สัมผัสธรรมชาติและรับอากาศบริสุทธิ์
6. มีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนไอเดีย
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นสิ่งจำเป็นในการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ การจัดเตรียมอุปกรณ์ดิจิทัล ซอฟต์แวร์ และแพลตฟอร์มสำหรับการทำงานร่วมกัน เช่น กระดานไวท์บอร์ดดิจิทัล ห้องประชุมเสมือนจริง และเครื่องมือระดมความคิด จะช่วยให้การแชร์และพัฒนาไอเดียทำได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงการมีระบบจัดเก็บและค้นหาข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย
7. วัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับไอเดียใหม่ ๆ
วัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและส่งเสริมนวัตกรรมเป็นรากฐานสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ การสร้างบรรยากาศที่พนักงานกล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กลัวความผิดพลาด และได้รับการสนับสนุนในการทดลองสิ่งใหม่ ๆ จะช่วยให้เกิดไอเดียที่สร้างสรรค์ การจัดกิจกรรมระดมความคิด การให้รางวัลสำหรับไอเดียที่โดดเด่น และการสร้างช่องทางรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายจะช่วยสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม นอกจากนี้ การสนับสนุนให้พนักงานได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มพูนความรู้และมุมมองใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาต่อยอดเป็นไอเดียสร้างสรรค์ได้
8. ดนตรีและเสียงบรรยากาศที่ช่วยให้คิดงานได้ดีขึ้น
เสียงและดนตรีในที่ทำงานมีผลต่อสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ การจัดโซนที่มีเสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ หรือเสียงธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นสมองและลดความตึงเครียด ควรมีพื้นที่ที่มีระดับเสียงแตกต่างกัน ทั้งโซนเงียบสงบสำหรับงานที่ต้องการสมาธิสูง และโซนที่สามารถพูดคุยได้อย่างอิสระ การใช้วัสดุดูดซับเสียงและการจัดวางพื้นที่ที่เหมาะสมจะช่วยควบคุมระดับเสียงรบกวนและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงานสร้างสรรค์
สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และผลักดันให้องค์กรประสบความสำเร็จ แต่การจัดออฟฟิศให้น่าทำงานอาจจะต้องมีการใช้งบประมาณที่สูงและใช้เวลานานกว่าจะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมการทำงานในครั้งต่อไป หลาย ๆ บริษัทจึงนิยมเลือกเช่าออฟฟิศหรือเช่า co working space ที่มีการออกแบบพื้นที่และสร้างบรรยากาศการทำงานที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่กำลังมองหาสถานที่ทำงานที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี Workstories เรามีบริการออฟฟิศให้เช่าที่ตอบโจทย์การทำงานและมีบริการที่สะดวกและครบครัน